จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ |
|
วันนี้ |
55 |
เมื่อวาน |
40 |
เดือนนี้ |
0 |
เดือนก่อน |
1,286 |
ปีนี้ |
14,256 |
ปีก่อน |
5,585 |
วัดกลางคูเวียง
ประวัติวัดกลางคูเวียง
วัดกลางคูเวียง สร้างมาแต่เมื่อใด พ.ศ.ใด ไม่ปรากฏทราบแน่ชัด ตามความสอบสวนทวนความของคนรุ่นเก่าเล่าว่าวัดกลางคูเวียงนี้เดิมชื่อว่า วัดกลางลาว สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ กล่าวคือ เมื่อพระองค์ได้ทำสงครามปราบปรามเมืองเวียงจันทร์ ซึ่งเคยเป็นเมืองประเทศราชของไทยมาก่อนจนได้ชัยชนะ พระองค์จึงได้กวาดต้อนเอาชาวเมืองเวียงจันทร์ล่องมาตามลำน้ำท่าจีน จนเข้าสู่มณฑลนครชัยศรี ถึงหมู่บ้านสัมปทวน จึงให้ขบวนราษฎรชาวเวียงจันทร์ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่บ้านสัมปทวนนี่เอง ในคราวกวาดต้อนครอบครัวชาวเวียงจันทร์มานั้น ได้มีเจ้านานฝ่ายเวียงจันทร์มาด้วยคือพระเจ้าเมืองซ้ายและพระชายาหม่อมเจ้าโสภี หลังจากครอบครัวชาวเวียงจันทร์ได้ตั้งถิ่นฐานเรียบร้อยแล้ว พระเจ้าเมองซ้ายและพระชายาได้มำการบูรณะวัดซึ่งเป็นวัดที่มีอยู่แต่ดั้งเดิม ชาวบ้านเรียกว่า วัดกลาง แต่เป็นวัดร้างมาตั้งแต่ต้นสมัยรัตนโกสินทร์จนเป็นที่เรียบร้อย จึงได้อาราธนาท่านพระครูบุญชูโต มาเป็นเจ้าอาวาสทำการปกครองวัดกลาง และได้ชื่อว่าวัดกลางลาว ต่อมาท่านพระครูบุญชูโตได้มรณะภาพลง ท่านอาจารย์ปลีได้ปกครองวัดสืบต่อมา จนกระทั่งอาจารย์ปลีได้้มรณะภาพลงได้มีการแต่งตั้งเจ้าอาวาสอีกหลายองค์ แต่ไม่มีหลักฐานปรากฏว่า เป็นพระคุณเจ้าองค์ใดบ้างและวัดก็ต้องกลายเป็นวัดร้างถึง 2 หรือ 3 ครั้งจนกระทั่งท่านอาจารน์น้อยได้มาทำการบูรณะปฏิสังขรณ์วัดนี้ขึ้นมาใหม่ แล้วทำการปกครองวัดกลางลาวสิบต่อมา
สาเหตุที่เปลี่ยนชื่อวัดกลางลาวเป็นกลางคูเวียง
วัดกลางคูเวียงในสมัยโบราณตามคำบอกเล่าของชาวบ้านเรียกกันว่าวัดกลาง หรือวัดกลางลาว เพราะเป็นวัดที่อยู่ระหว่างกลางและเป็นที่อยู่ของชาวลาวเวียงจันทร์ จึงตั้งชื่อว่า "วัดกลางลาว" ต่อมาสมัยท่านจอมพล ป.พิบูลย์สงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี จึงได้ทำการเปลี่ยนชื่อวัดเสียใหม่เพื่อให้สอดคล้องตามรัฐนิยมและเป็นมงคลนาม โดยที่วัดนี้มีคูน้ำเป็นเขตบริเวณรอบวัดและที่สำคัญคือ มีท่านพระครูบุญชูโต เป็นเจ้าอาวาสองค์แรกนับตั้งแต่พระเจ้าซ้ายเมืองได้ทำการบูรณะปฏิสังขรณ์ทำนุบำรุงวัดมา จึงได้เปลี่ยนชื่อเสียใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับประวัติความเป็นมาและรัฐนิยมว่า "วัดกลางคูเวียง" จนกระทั่งปัจจุบัน
สิ่งที่น่าสนใจ
สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจและขึ้นชื่อของวัดกลางคูเวียงได้แก่ยาต้ม หรือยาหม้อ เป็นการปรุงยาสมุนไพรที่สืบทอดกันมาช้านาน วัดกลางคูเวียงมียารักษาโรคที่เรียกว่ายาหม้อได้แก่ ยาแก้ระดูทับไข้ ยาแก้ไข้จับสั่น ยาแก้ไข้จับให้ร้อนและเย็น ยาบำรุงเลือด ยาแก้ตาลขะโมยเด็ก ยาแก้ตาลขะโมยตัวร้อน ยาบำรุงธาตุ ยาบำรุงเลือดให้เลือดงาม ยาแก่กษัย ยาบำรุงน้ำนม ยาต้มถ่ายน้ำคาวปลา ยาแก้แพ้ท้อง ยาบำรุงธาตุทั้ง ๔ ยาแก้น้ำเหลือเสีย ยาแก้ไข้แกมทราง ยาที่เกล่ามานี้สามารถรักษาโรคต่างๆ ได้ชะงัดนักจนเป็นที่เลื่องลือของชาวบ้านทั้งใกล้และไกล ทำให้มีกระแสศรัทธาหลั่งไหลมาทำให้วัดเจริญขึ้นอย่างในทุกวันนี้ พระครูสังฆรักษ์ (เชิญ โกสโล) จึงได้สร้างกุฎิโสภณสาธุการ เพื่อเป็นการแสดงความกตัญญูกตเวที ต่อหลวงพ่อชื่น เขมจารี ที่ได้สั่งสอนวิชาความรู้ต่างๆ รวมทั้งการปรุงยาสมุนไพรแผนโบราณนี้ ทางวัดยังได้พิมพ์สูตรในการปรุงยาสมุนไพรเพื่อแจกผู้สนใจได้นำเอาไปปรุงยาไว้กินกันเองด้วย
ลูกนิมิต 100 ลูก เป็นจุดเด่นที่น่าสนใจและดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาทำบุญปิดทองลูกนิมิตที่วัดกลางคูเวียงซึ่งมีถึง 100 ลูกด้วยกัน เป็นลูกนิมิตที่ทางวัดสร้างขึ้น เมื่อวัดใดต้องการใช้ลูกนิมิตก็ให้มาเอาที่วัดกลางคูเวียงได้ ลูกนิมิตเหล่านี้จะจัดไว้เป็นชุดๆ ละ 9 ลูกโดยมีลูกนิมิตเอกขนาดใหญ่ว่าลูกอื่นๆ
เบี้ยแก้ยักษ์ เบี้ยแก้เป็นเครื่องลางที่ขึ้นชื่อมากอย่างหนึ่งของนครชัยศรี และนครปฐม มีพระเกจิอาจารย์หลายวัดที่สร้างเบี้ยแก้นี้เพื่อให้ประชาชนได้นำไปติดตัวเพื่อเป็นเครื่องลาง ที่วัดกลางคูเวียงได้สร้างเบี้ยแก้ขนาดใหญ่เอาไว้สำหรับประชาชนได้มาปิดทองและรู้จักเบี้ยแก้
หม้อยายักษ์ เพื่อแสดงให้เห็นถึงชื่อเสียงที่ร่ำลือกันของวัดกลางคูเวียงด้านการปรุงยาสมุนไพรที่เรียกว่ายาหม้อ มีหม้อยายักษ์ตั้งอยู่ใกล้กับตลาดน้ำวัดกลางคูเวียง